วิจัยกรุงศรี เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตต่ำ แม้ได้รับหนุนภาคการท่องเที่ยว-รายได้ท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว จับตาการฟื้นตัวของภาคส่งออกยังเปราะบาง หลังตัวเลข 2 เดือนขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ มองทั้งปีมีโอกาสโตต่ำกว่า 2.5% เหตุเผชิญปัจจัยโครงสร้างภาคการผลิตอ่อนแอ
วันที่ 2 เมษายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า เศรษฐกิจในเดือนกุมภาพันธ์ฟื้นกระจุกตัวที่ภาคท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ทำให้โดยภาพรวมแล้วยังเติบโตต่ำ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจในเดือนกุมภาพันธ์ได้แรงหนุนจากกิจกรรมในภาคบริการที่ขยายตัวตามภาคการท่องเที่ยว โดยทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายรับท่องเที่ยวที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากเดือนก่อน (+20.1% และ +9.3% MoM sa ตามลำดับ)
ด้านการลงทุนภาคเอกชนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับดีขึ้นในบางหมวด ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนทรงตัว อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่ไม่รวมทองคำปรับลดลงจากเดือนก่อน (-2.9% MoM sa) รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวต่อเนื่องทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน ผลกระทบจากความล่าช้าของการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567
เศรษฐกิจในช่วงสองเดือนแรกของปี 2567 ได้แรงหนุนสำคัญจากภาคท่องเที่ยวซึ่งมีสัญญาณบวกมากขึ้นทั้งทางด้านจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวเข้าใกล้สู่ช่วงก่อนเกิดโควิด (คิดเป็น 87% และ 88% ของช่วงเดียวกันปี 2562 ตามลำดับ) ปัจจัยหนุนจากมาตรการ Visa-Free แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายประเทศ อาทิ จีน อินเดีย รัสเซีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน
อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัวแม้จะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นระยะสั้นผ่านโครงการ Easy-E-Receipt ก็ตาม นอกจากนี้ เมื่อประกอบกับการหดตัวอย่างต่อเนื่องของการใช้จ่ายภาครัฐจึงคาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสแรกมีแนวโน้มอาจเติบโตในระดับต่ำต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 จากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลังการจัดทำพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ต้นเดือนเมษายนนี้
อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสู่ระดับ 400 บาท สำหรับธุรกิจโรงแรมและที่พักระดับ 4 ดาวขึ้นไป ในบางพื้นที่ของ 10 จังหวัดที่มีรายได้สูงจากภาคท่องเที่ยว มีผลวันที่ 13 เมษายนนี้ ซึ่งอาจช่วยหนุนความเชื่อมั่นและกำลังซื้อให้กับแรงงานบางส่วนได้บ้างเล็กน้อย
การฟื้นตัวของภาคส่งออกยังมีปัจจัยท้าทาย แม้มูลค่าส่งออกเดือนกุมภาพันธ์จะเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 23.4 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 3.6% YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 4.4%) ชะลอลงจาก 10.0% ในเดือนมกราคม และหากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าส่งออกขยายตัว 2.3% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ ข้าว (+53.6%) ยางพารา (+31.7%) เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (+24.9%) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (+18.0%)
ขณะที่การส่งออกในบางกลุ่มหดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-5.6%) แผงวงจรไฟฟ้า (-13.2%) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (-24.2%) และน้ำตาลทราย (-34.9%) ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวในตลาดสำคัญ อาทิ สหรัฐ สหภาพยุโรป และ CLMV ขณะที่การส่งออกไปญี่ปุ่น จีน และอาเซียน5 กลับมาหดตัว สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการส่งออกขยายตัว 6.7%
แม้การส่งออกของหลายๆ ประเทศในเอเชียทยอยฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของภาคการผลิตโลก การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และภาวะชะงักงันของห่วงโซ่การผลิตที่คลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกของไทยในช่วง 2 เดือนแรกเฉลี่ยอยูที่ 23.0 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปีก่อนที่ 23.7 พันล้านดอลลาร์ อีกทั้งยังต้องติดตามการส่งออกในเดือนมีนาคม เนื่องจากปัจจัยจากฐานที่สูงถึง 28 พันล้านดอลลาร์ อาจทำให้ส่งออกกลับมาติดลบ
นอกจากนี้ การส่งออกยังเผชิญแรงกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างภาคการผลิตไทยที่อ่อนแอ สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดภาคการผลิตของไทยเดือนกุมภาพันธ์ที่อยู่ในแดนหดตัว (< 50) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 สวนทางกับ PMI ภาคการผลิตของโลกและอาเซียนซึ่งทยอยปรับขึ้นอยู่ในแดนขยายตัว (> 50) อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสะท้อนว่าการผลิตของภาค อุตสาหกรรมของไทยหลายกลุ่มอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและไม่สามารถปรับตัวตอบสนองการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความต้องการสินค้าในโลก การฟื้นตัวของการส่งออกในปีนี้จึงยังมีความไม่แน่นอนและมีแนวโน้มที่อาจเติบโตต่ำที่ 2.5%
วิจัยกรุงศรีฯ ประเมินมูลหนี้มาตรการแก้หนี้เรื้อรังอยู่ที่ 1.2-1.8 หมื่นล้านบาท
ธนาคารโลกหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจไทย 2567 เหลือโต 2.8% จากครั้งก่อน 3.2%
เวิลด์แบงก์ เปิดรายงาน 5 โจทย์ใหญ่ประเทศไทย ปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจ